


" สำหรับพื้นที่ เปิด มีช่องลม ประตู หน้าต่าง เปิดโล่ง มีช่องระบาย ความชื้นที่เพิ่มขึ้นเพียง 3.5 g/kg ของอากาศแห้ง เป็นความชื้นที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งใกล้เคียงกับความชื้นตอนฝนตกแทบจะไม่มีผล กับสินค้า หรือเครื่องจักรในพื้นที่ทำงาน "
" สำหรับพื้นที่ ปิด ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เป็นห้องปิดมิดชิด เราก็สามารถควบคุมความชื้น การติดตั้งพัดลมระบายอากาศ เพื่อระบายอากาศ 80% ของอากาศที่จ่ายเข้าไปในพื้นที่
เท่านี้ก็จะทำให้ อากาศ เย็นสะบาย สดชื้นได้แล้ว "
" ความชื้นสัมพัทธ์ เป็นเพียงเปอเซ็นต์สัดส่วน ระหว่างอุณหภูมิกระเปาะเปียกและกระเปาะแห้ง ไม่มีผลต่อความรู้สึก "
" ความชื้นสัมบูรณ์ เป็นปริมาณความชื้นในอากาศ หรือปริมาณน้ำที่อยู่ในอากาศ เป็นสิ่งที่เราควรคำนึงมากกว่า ซึ่งมากสุดก็เท่าบรรยากาศตอนฝนตกเท่านั้นเอง "
ส่วนมากมักเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง “ความชื้น” เนื่องจาก การรายงานอากาศของสื่อที่มักใช้คำว่า “ความชื้น” เพื่ออ้างอิงกับ บรรยากาศภายนอก ทำให้เกิดความเข้าใจไปเองว่า ความชื้นหมาย ถึงความรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งไม่เป็นจริง
ในทางเทคนิคแล้ว “ความชื้น” มีทั้งในรูปแบบความชื้น สัมพัทธ์ (RH %) หรือ ความชื้นสัมบูรณ์ (Absolute Humidity, g/kg ของอากาศ แห้ง) ซึ่งในการประเมินปัญหาของลมที่จ่าย
ให้กับพื้นที่ของท่านจะ ใช้แค่ 2 รูปแบบนี้เท่านั้น
Relative humidity (RH) in % is the ratio of the actual amount of water vapor in the air to the amount it could hold when saturated .
Absolute humidity (AH) in g/Kg of dry air is the mass of water vapor in a unit volume of air. It is a measure of the actual water vapor content of the air.
ตาราง Psychometric ดังรูปภาพด้านบน รูปที่ 1 แสดงตัวแปร 2 ตัวที่ใช้เพื่อความ เข้าใจที่ดีขึ้น เมื่ออากาศถูกทำให้เย็นขึ้น จากจุด A ไปจุด B อุณหภูมิ ลดลงจาก 33.5°C ลงมาที่ 27.9 °C และค่าความชื้นสัมพัทธ์ (RH) เพิ่ม ขึ้นจาก 58% เป็น 89%.
การเพิ่มขึ้นของ RH อาจดูน่าตกใจ แต่หากเรามองที่การเพิ่มขึ้นของ ความชื้นสัมบูรณ์ (AH) ซึ่งเป็นปริมาณความชื้นในอากาศ (Moisture Content) เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 3.5 g/Kg (จาก 20.0 เป็น 23.5 g/Kg) ซึ่งการเพิ่มปริมาณความชื้นในอากาศเพียงเล็กน้อยนี้ แทบจะไม่มีผล กับสินค้า หรือเครื่องจักรในพื้นที่ทำงาน ปริมาณความชื้นในอากาศ จะใกล้เคียงกับตอนฝนตก สำหรับพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สิ่งที่สำคัญคือ การเพิ่มขึ้นของปริมาณความชื้นในอากาศ ไม่ควรให้ สะสมในพื้นที่ ประเด็นนี้จะอธิบายในหัวข้อถัดไปคือ “วิธีการป้องกัน การสะสมความชื้น”.
เราสามารถอธิบายเกี่ยวกับการป้องกันการสะสมความชื้นได้ โดยใช้ตาราง psychometric ทั้ง 3 ด้านบน รูปภาพที่ 2 , 3 และ 4 ควรอ่านตามลำดับจากตารางแรก จากตัวอย่าง อากาศถูกลดอุณหภูมิจากจุด A ไปจุด B อุณหภูมิลดลง และความชื้นสัมพัทธ์ เพิ่มขึ้น จากที่ "ความชื้นสัมพัทธ์" เป็นค่าเชิงสัดส่วน ของสภาพอากาศ แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ซึ่ง ไม่สามารถระบุได้ว่า จะมีผลเรื่องความรู้สึก สบายตัวของพนักงาน หรือมีผลต่อสินค้า หรือไม่
การควบคุมการสะสมความชื้น จึงไม่ขึ้นอยู่ กับการ เพิ่มขึ้นของความชื้นสัมพัทธ์ (RH) ตารางนี้เหมือนกับด้านซ้าย ยกเว้นการแสดง การเพิ่มของความชื้นสัมบูรณ์ (AH) เมื่ออากาศ ถูกลดอุณหภูมิจากจุด A ไปจุด B ตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างสำหรับพื้นที่ เอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ ความชื้นสัมบูรณ์เพิ่มขึ้น 3.5 gm/kg ของอากาศแห้ง ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก แต่สามารถสะสมเพิ่มขึ้นได้ หากพื้นที่ไม่มี การควบคุม
หากปริมาณความชื้นยังคงสะสม เพิ่มขึ้นในพื้น ที่ปิด อาจส่งผลให้พนักงานในพื้นที่รู้สึกอึดอัด หรืออาจกระทบกับสินค้าได้
วิธีควบคุมการสะสมความชื้นที่มีประสิทธิภาพ และค่าใช้จ่ายไม่สูงคือ การติดตั้งพัดลมระบายอากาศ เพื่อระบายอากาศ 80% ของ อากาศที่จ่ายเข้าไปในพื้นที่ ดังตัวอย่างนี้เราก็มีการควบคุมให้มีปริมาณ 3.5 gm/kg ของอากาศแห้ง
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ห้างหุ้นส่วน เตียเต็กอู๋ จำกัด
สนใจรายละเอียดหรือสั่งซื้อได้ที่
โทร. 087-2024772 (คุณต้น) โทร.082-0144093 (คุณเป้)
ทำไมถึงต้องใช้พัดลมไอเย็น
1. พัดลมไอเย็นทำงานโดยปราศจากคอมเพรสเซอร์ โดยใช้การระเหยของไอน้ำในการลดอุณหภูมิความร้อนในอากาศ จึงทำให้พัดลมไอเย็นมีประสิทธิภาพในการทำความเย็นในพื้นที่ทำงาน อยู่ที่อุณหภูมิระหว่าง 25-29 องศาเซสเซียส
2. พัดลมไอเย็นเสียค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่อง (ค่าไฟฟ้า) เพียงแค่ 10% ของค่าใช้จ่ายในการเดินระบบเครื่องปรับอากาศ หรือระบบอื่น ๆ อีกทั้ง พัดลมไอเย็นใช้จ่ายเริ่มต้นในการติดตั้งระบบนี้ คิดเป็น 40% ของการติดตั้งระบบปรับอากาศ
3. หลักการทำงานเหมือนระบบปรับอากาศทั่วไป โดย AIR FLOW SYSTEM จะจ่ายลมเย็นผ่านท่อลม (DUCTING) เข้าสู่บริเวณพื้นที่ทำงาน
4. ข้อแตกต่างจากระบบปรับอากาศทั่วไป คือ ระบบการทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยพัดลมไอเย็นจะนำเอาอากาศจากภายนอกมาลดอุณหภูมิโดยเข้าสู่กระบวน ระเหยอากาศ คือ ไปดูดซับอุณหภูมิความร้อนในอากาศแล้วจึงผ่านแผ่นกรองเพื่อดูดซับอุณหภูมิความชื้น แล้วจ่ายลมเย็นเข้าสู่บริเวณพื้นที่ทำงาน พร้อมกับผลักดันอากาศร้อน รวมทั้งฝุ่นละออง สิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนอยู่ในห้องทำงานออกสู่ภายนอกอาคาร โดยทางประตูหน้าต่าง หรือ พัดลมดูดอากาศ